เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ ม.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ถ้าฟังธรรม สัจธรรมๆ เห็นไหม พายุเข้าๆ พายุผ่านไปแล้ว เวลาพายุผ่านไปแล้ว ด้วยเทคโนโลยี ด้วยสิ่งปลูกสร้างที่มันเจริญขึ้นมา ความเสียหายมันน้อยลง แต่ความเสียหายน้อยลงขนาดไหน เราเอาชีวิตไว้ก่อน ถ้าเอาชีวิตไว้ก่อน สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ผ่านไปด้วยสติด้วยปัญญาของคนนะ เอาตัวรอดได้ เอาตัวรอดได้

แต่เวลากลับไปบ้าน บ้านเรือนพังหมดเลย ไม่มีที่พึ่งพาอาศัย ทำอย่างไร ไอ้คนที่บ้านเรือนพังเล็กน้อยก็เรื่องหนึ่งนะ ไอ้คนที่บ้านเรือนเสียหายมาก ทรัพย์สินเสียหายมากๆ

ทรัพย์สินเสียหาย เราแสวงหามาทั้งชีวิตนะ เวลาปลูกบ้านปลูกเรือนได้แต่ละหลัง แล้วปลูกบ้านปลูกเรือนได้แต่ละหลัง คนทุกข์คนจนคนไม่มีโอกาสจะไปหาสิ่งนั้นน่ะ มันเป็นสิ่งที่มีค่ามาก มันเป็นสิ่งที่มีค่ามาก

แต่มันจะมีค่าขนาดไหนนะ ถ้าเรามีสติปัญญายับยั้งไว้ เวลาคนไม่มีสติปัญญายับยั้งมันทุกข์มันยากมากนะ เวลาเราทุกข์เรายากเพราะเราวิตกกังวลว่าพายุมันจะเข้า มันจะทำให้ทรัพย์สินเราเสียหาย ถ้าเราจะเฝ้าทรัพย์สินเรา จะทำให้ชีวิตเราเสียไปได้ เราทิ้งสิ่งนั้นมาๆ ด้วยสติด้วยปัญญา เห็นคุณค่าไง

เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะของเรา ถ้าอวัยวะของเรายังดีอยู่ เรายังสามารถหาทรัพย์สินนั้นได้

สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ถ้ายังมีชีวิตอยู่มันยังดิ้นรนได้ มันยังรับรู้ได้ เรามีชีวิตอยู่ เราเห็นลูกเห็นหลานของเราประสบความสำเร็จ เราเห็นสังคมของเรา เห็นชาติเห็นตระกูลของเรามันมีความสุขขึ้นมา

ถ้าชีวิตเราเสียไปแล้ว ชาติตระกูลของเราก็ต้องอยู่ต่อไป ลูกหลานของเราก็ต้องดำรงชีพต่อไป แต่เราไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นของเรา เพราะว่าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้จะไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งนั้น เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเกิดด้วยผลบุญผลกรรม ผลบุญผลกรรมจะเกิดภพใดชาติใดล่ะ ถ้าเกิดภพใดชาติใด สิ่งใดต่างๆ นี่เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง

ฉะนั้น เวลาสิ่งที่เสียหายไปๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว เสียสละทรัพย์เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ เสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะไว้ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตนั้นไว้ เพราะชีวิตมีค่า มีค่าที่ไหน

เวลามันสุขมันทุกข์ ใครมันสุขมันทุกข์ ข้าวของเงินทองมันสุขมันทุกข์ไม่ได้ บ้านเรือนถ้ามันสมบูรณ์แบบ เราทาสีมันใหม่สวยงามมาก มันก็แค่เป็นความภูมิใจของเรา เวลามันพังทลายไป บ้านเรือนนั้นมันก็ไม่เจ็บไม่ปวด มันก็ไม่โอดโอยกับใครทั้งสิ้น

แต่คนที่เจ็บปวดที่โอดโอยกับเราคือหัวใจของเราไง สิ่งที่เราเป็นคนที่เสียดาย เราเป็นคนที่ผูกพัน ความทุกข์ความสุขมันอยู่ที่ใจของเรา เห็นไหม

ถ้าใจของเรา ถ้าเรารักษาชีวิตนี้ไว้ ฟังธรรมๆ ขึ้นมาให้เห็นคุณค่าของชีวิตนี้ ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คือไออุ่น ไออุ่นตั้งอยู่บนกาลเวลา ถ้าชีวิตนี้ไม่อยู่บนไออุ่น ไม่อยู่บนกาลเวลา มันสืบต่อมาเป็นชีวิตได้อย่างไร

ถ้าชีวิตนี้ สิ่งที่ชีวิตนี้คือไออุ่น พลังงาน พลังงานสิ่งนั้น พลังงานอวิชชาครอบงำอยู่ เวลามาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมขึ้นมา เป็นจักรพรรดิมีอำนาจวาสนาปกครองคน จากพลังงานอันนั้นน่ะ เวลามันหดสั้นเข้ามา มันหดสั้นเข้ามาสู่ใจของตนๆ

สิ่งที่ใจของตน เวลาเราฝึกหัดของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เราจะรักษาใจของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณค่ามาก มีคุณค่ามาก ท่านก็สอนสังคม

สังคมนั้น ถ้าเราเกิดมาในสังคมนั้นมีความเมตตามีการุญต่อกัน สังคมนั้นจะร่มเย็นเป็นสุข สังคมไหนที่มีสติปัญญาเกื้อกูลกัน ปกป้องดูแลรักษากัน

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เวลาพายุมันจะเข้า แต่เดิมพายุเข้ามาแต่ละที่ ถ้ามีคนเห็นแก่ตัว มีคนที่คอยเอารัดเอาเปรียบมันกีดมันขวางกัน มันอพยพไม่ได้ มันทำสิ่งใดก็ไม่ได้ มันมีแต่คนเห็นแก่ตัว มีแต่คนกีดขวาง มีแต่คนเอารัดเอาเปรียบ

แต่ถ้าคนมีน้ำใจต่อกันช่วยเหลือเจือจานกัน หลีกหนทางให้ ทุกอย่างทำเพื่อประโยชน์ของตน ถ้าจิตใจคนเป็นธรรมๆ ขึ้นมา ความรับรู้ที่หัวใจๆ อันนี้ หัวใจนี้มันรับรู้สุขรับรู้ทุกข์ หัวใจนี้ถ้าเผชิญ

ถ้าคนมีสติปัญญานะ เวลาพระในสมัยพุทธกาลเวลาท่านพิจารณาของท่าน เวลาท่านจะไปถามปัญหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปถึงกุฏิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝนมันตกรุนแรงมาก น้ำเจิ่งนองไปหมดเลย เวลาหยดน้ำจากชายคามันตกไปที่น้ำนั้นเป็นจุดเป็นต่อมแล้วมันแตก ท่านไปยืนพิจารณาของท่าน ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์เลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีสติปัญญาของเรา เรามีสติปัญญารักษาหัวใจของเรา พายุมันเคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่อดีต พายุเคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปัจจุบันนี้ อนาคตมันก็จะเกิดอีก นี่ถ้ามันมีสติมีปัญญาพิจารณาของมัน เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนไง เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศอันสมควร เราจะอยู่ในประเทศในอุณหภูมิที่ใด เรารักษาของเรา

เราเกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากเวรจากกรรม แล้วบ้านเรือนเราจะปลูกเราจะสร้าง เราจะปลูกสร้างที่ไหน มันอยู่ที่ทัศนคติ อยู่ที่ความชอบพอใจของเรา เราจะรักษาของเราอย่างไร นี่มันไปยืนพิจารณามันเป็นธรรมได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าเรามีสติปัญญามันเป็นธรรมๆ ขึ้นมา ถ้าคนมีสติปัญญานะ

แต่ถ้าคนที่สติปัญญาอ่อนด้อยๆ จิตใจไม่มีกำลัง จิตใจไม่แข็งแรง โศกเศร้าเสียใจ มีความทุกข์ความร้อนไปหมดนะ

แต่มันทุกข์จริงๆ เวลาคนเกิดมา ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง การเกิดมา เกิดมาดำรงชีพ มันต้องมีการแข่งขัน ต้องพยายามขวนขวายของเรา มันเป็นความทุกข์เป็นความจริง แต่ทุกข์อย่างนี้ทุกข์สืบต่อ ทุกข์ต่อเนื่องกันไป

เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา “ชีวิตเราก็ลำบากลำบนอยู่ขนาดนี้แล้ว เราจะมาลำบากลำบนสิ่งใดอีก”

ความลำบากลำบนอย่างนั้นเป็นการพักจิต คนเราเกิดมาเหมือนเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ถ้ามันสตาร์ตเครื่องแล้วมันไม่เคยดับเลย ดับไม่ได้เลยจนกว่ามันจะพังทลายไป ตั้งแต่เกิดมา ความรู้สึกนึกคิดมันเกิดมาไม่เคยพักเลย

เรามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าเราได้พักเครื่อง เราได้ดับเครื่องมา ให้ได้พักผ่อนบ้าง ให้มีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาบ้าง มันจะเป็นคุณค่ากับเรา คุณค่ากับเราไง

ฉะนั้น เวลาชีวิตนี้ก็ทุกข์อยู่แล้ว เครื่องมันก็ร้อนอยู่แล้ว ทุกอย่างมันกำลังจะพังทลายอยู่แล้ว เรายังจะต้องมาเร่งเครื่อง ต้องมาผ่อนเครื่องให้มันทุกข์มันยากขึ้นมาอีกหรือ

ถ้ามันผ่อนเครื่อง เร่งเครื่อง สมบัติของเราไง สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ “ให้บอกบริษัท ๔ นะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด” การปฏิบัติบูชามันมีการกระทำไง

ถ้าไม่ปฏิบัติบูชา เราเสียสละทาน เสียสละทานมันเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิส สิ่งที่เราไปห้างสรรพสินค้า เรามีเงินทองมากมายขนาดไหน เราจะซื้อข้าวของสิ่งใดเราก็ซื้อมาแล้วก็มีความสุขๆ สุขเพราะความซื้อขาย สุขเพราะได้สิ่งของตามปรารถนานั้นมา

แต่เวลาเราจะหาความสุขทางใจของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันสุขในตัวมันเอง มันสุขในการกระทำของเราเอง เราเข้าไปค้นคว้าหาจิตใจของเราเอง เราจะเห็นคุณค่าเองว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน สอนมนุษย์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์คือรื้อหัวใจของสัตว์ แล้วหัวใจของสัตว์ ถ้าจะรื้อ รื้อเข้ามาที่นี่ไง

แต่ที่นี่เวลาเกิดมา โลกสมมุติ เราเกิดมามีพ่อมีแม่ เกิดมามีชาติมีตระกูล นี่สายบุญสายกรรม เวลาเกิดมาแล้วมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน คนมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน

อภิชาตบุตร บุตรที่เกิดมาแล้วดีกว่าพ่อกว่าแม่ เวลาเกิดมา เรื่องเวรเรื่องกรรม เรื่องบาปเรื่องบุญ มันมีในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่เราเกิดมาแล้ว คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด คนเราดีเพราะการกระทำ

นี่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เวลาเกิดมาเป็นสัตว์ ดูฟาร์มสิ ฟาร์มสัตว์ต่างๆ เวลามันฟักไข่ฟักออกมา เวลามันคลอดลูกออกมา นั่นเป็นสัตว์ทั้งนั้นน่ะ มันก็สิ่งมีชีวิตเหมือนกัน

เวลาในพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเกิด เกิดชาติใด เกิดเป็นสิ่งใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้เอง บุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณหยั่งรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งมีชีวิตๆ อภิชาตบุตร บุตรที่เกิดมาดีกว่าพ่อกว่าแม่ ถ้าดีกว่าพ่อกว่าแม่ ทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ ประโยชน์กับใคร ประโยชน์กับชาติ ประโยชน์กับตระกูล แล้วประโยชน์กับตน ประโยชน์กับตน เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะค้นคว้าหาหัวใจของเรา เห็นไหม

เวลาพายุมันเกิดขึ้น คนมีสติมีปัญญา เทคโนโลยีที่มันเจริญขึ้นมันพาให้ความเสียหายมันน้อยลง ถ้ามันเสียหาย มันเสียหายไปโดยวัตถุ เสียหายโดยธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมันแปรปรวนอย่างนั้น

แต่จิตใจของคนๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาทุกข์เวลายากมันเกิดขึ้นมาๆ ใครมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน จะมีประโยชน์แค่ไหน

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เองแล้ว เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศที่ไหน เกิดอย่างไร เกิดที่ใด เราเกิดมาแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาจากชาติจากตระกูล ชาติตระกูลที่ดี ชาติตระกูลที่ส่งเสริมลูกหลานของเราให้เป็นคนดีๆ เป็นคนดีมีที่ยืนในสังคม

สิ่งที่เป็นคนดี เป็นคนดีเพื่อเขา คนดีเพื่อเขานะ เป็นคนดีเพื่อเขามันก็ย้อนมาชาติย้อนมาตระกูลของเรา ถ้าย้อนมาชาติตระกูลของเรา เวลาเขามีความสุขของเขา ถ้ามีความสุขเป็นความจริงขึ้นมานะ ถ้าจิตสงบแล้ว สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบไม่มี แล้วจะไปหาที่ไหน

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลารื้อสัตว์ขนสัตว์ ชี้เข้ามาที่ใจของสัตว์โลก ชี้เข้ามาความรู้สึกของเรานะ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปรารถนาสิ่งใดเลย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเจ้าชายสิทธัตถะไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราต้องเป็นเช่นนั้นใช่ไหม ถ้าเราเป็นเช่นนั้น เราต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

พระพุทธศาสนาตอบสนองได้ถึงขนาดนั้นน่ะ มีคุณค่าขนาดนั้นน่ะ

แต่พวกเราไปตื่นโลกตื่นสงสาร ไปตื่นอะไรกัน เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมามันไม่ใช่หน้าที่การงานของเรา แต่เวลาเราปรารถนาความสุข เราปรารถนาความพ้นทุกข์ เราปรารถนาสัจจะความจริง

แล้วเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมหัศจรรย์ขนาดไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ เวลาเดินจงกรมบนอากาศ หูข้างหนึ่งเป็นไฟพุ่งออกมา หูข้างหนึ่งน้ำพุ่งออกมา นี่มันเป็นความมหัศจรรย์อย่างนั้น อันนั้นเป็นอะไร นี่เป็นฤทธิ์เป็นเดช เป็นอำนาจวาสนาบารมี

แต่จริงๆ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ สติชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความชอบธรรม สติปัญญาอย่างนี้ต่างหาก มันดับทุกข์ที่นี่ต่างหาก เวลาไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เกิดจากภาวนามยปัญญา ไม่ใช่เกิดจากฤทธิ์เดชอย่างนั้น

ฤทธิ์เดชอย่างนั้นมันพุ่งออกไป ฤๅษีชีไพรเขาทำของเขาได้อยู่แล้ว พอทำของเขาได้มากน้อยขนาดไหน แต่เขาไม่สามารถรู้เท่าทันใจของเขา เขาไม่สามารถเท่าทันกิเลสในใจของเขา เขาไม่สามารถควบคุมในใจของเขา เขาไม่สามารถสร้างภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ชำระล้างกิเลสในใจของเขา

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนา เวลาปรารถนา เวลาพระโมคคัลลานะฟังเทศน์ของพระอัสสชิมาแล้วเป็นพระโสดาบันมา มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้บวชเป็นพระแล้วให้ฝึกหัด

เวลาง่วงเหงาหาวนอน เวลามันสัปหงกโงกง่วง ไปโดยฤทธิ์ๆ เลย คู้แขนเหยียดแขน ไปถึงแล้ว เวลามันไปมันไปอย่างนั้นน่ะ นี่โดยฤทธิ์โดยเดชไง แต่ไปทำไม ไปสอนให้พระโมคคัลลานะ ถ้าง่วงนอนนะ ให้เอาน้ำลูบหน้า ให้ตรึกในธรรม ไปแก้ความง่วงนอนอันนั้น แต่ไปโดยฤทธิ์

ฤทธิ์นี้เป็นฤทธิ์ส่วนตัว ฤทธิ์นี้เป็นบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ไปสอนให้พระโมคคัลลานะแสดงฤทธิ์ แต่ไปสอนให้พระโมคคัลลานะให้ลูบหน้า ให้ตรึกในธรรม ในแหงนหน้าดูดาว ให้หูตาสว่าง ให้หัวใจมันสว่างโพลง แล้วให้เกิดปัญญาขึ้นมา เวลาเกิดปัญญาขึ้นมาชำระล้างกิเลสในใจของพระโมคคัลลานะ แล้วเวลาสิ่งที่ชำระล้างกิเลสในใจของพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

เวลาพระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายที่มีฤทธิ์มีเดชมาก มีฤทธิ์มีเดชมาก ฤทธิ์เดชก็คือฤทธิ์เดชไง

ฤทธิ์ เวลาคนมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ แต่ภาวนามยปัญญาต้องมี ศีล สมาธิ ปัญญาต้องมี ต้องมีสติ ต้องมีสมาธิ ต้องมีปัญญาเพื่อรู้เท่าทันใจของตน รักษาใจของตน แล้วสำรอกคายกิเลสในใจของตน ทำ ทำที่นี่

ไม่ต้องไปเชื่อฟังใครให้ใครชักจูงไปนอกลู่นอกทาง เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางเลย

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามาสู่สัจธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ใครเขาก็ทำได้ ใครก็มีวาสนาทำได้ ถ้าทำได้

แต่เราทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะกิเลสมันฟู กิเลสในใจมันต้องการอ้อนวอนขอ ต้องปรารถนาให้คนยื่นให้ ฤทธิ์เดชนี่ขอให้มันมีขึ้นมา ขอให้มันเป็นขึ้นมา

เอ็งไม่ฝึกล่ะ เอ็งไม่ทำล่ะ แล้วทำขึ้นมารักษาได้ไหม ใจของตนยังรักษาไม่ได้เลย ขับรถเดี๋ยวหลับในลงข้างทางหมดน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่ตั้งให้มั่นๆ เหมือนกับเราขับรถ เราดูแลจับพวงมาลัยควบคุมรถให้ดี นี่ก็ควบคุมจิตใจของตนให้ดี ถ้าควบคุมจิตใจของตนให้ดีมันจะไปไหน ถ้าเรามีสติปัญญาเท่าทันตรงนี้

แต่ไม่ เวลานั่งสมาธิภาวนาขึ้นมาก็ปรารถนาไปร้อยแปด ไม่เข้าใจเลยว่าปัญญาของตนสำคัญที่สุด ดูสิ เวลาพายุเข้า พายุเข้ามานะ ถ้าเทคโนโลยี สิ่งเทคโนโลยีที่มันไม่เจริญมันควบคุมไม่ได้ มันจะเกิดผลเสียหายมากมายมหาศาล

แต่พอควบคุมได้ บริหารจัดการได้ ประชาชนสามัคคีกัน ร่วมมือกัน ความเสียหายมันเสียหายทางวัตถุ วัตถุมันต้องเสียหายอยู่แล้วเพราะพายุมันเข้า แต่ผลกระทบกับสังคม ผลกระทบกับประชาชนน้อยมาก น้อยมาก

นี่ถ้ามันมีสติปัญญา คนเราสติปัญญามันแก้ไขได้ทุกๆ อย่าง แก้ไขแม้แต่ปัญหาชีวิตของเรา แก้ไขแม้แต่ความทุกข์ในใจของเรา แต่ถ้าเป็นความทุกข์ในใจของเรามันต้องเกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต

ถ้ามันเป็นสัญญาๆ ธรรมชาติของจิตของเรามันมีกิเลส มันปลิ้นมันปล้อน เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้ารู้หมดแล้ว เปิดตู้พระไตรปิฎกมันบอกอ่านจบหมดแล้ว

อ่านจบก็จบน่ะสิ อ่านจบก็บันทึกไว้ สำเนาไว้ แล้วเอ็งมีอะไรล่ะ เอ็งทำเป็นหรือเปล่า

เวลาต้องมาฝึกหัดนี่ไง มาฝึกหัดขึ้นมาก็ฝึกหัดไอ้แรงต่อต้านนั่นน่ะ ไอ้แรงต่อต้าน ไอ้ความเห็นที่ต่อต้านในใจของตนนั่นน่ะ นั่นน่ะกิเลสของตน เพราะกิเลสของตนทำให้เกิด เพราะกิเลสของตนทำให้เราขวนขวาย ทำให้เราหยิ่งผยอง ทำให้เราเหยียบย่ำเขา

แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา มันเหยียบย่ำเขาได้อย่างไร เขาก็มนุษย์ เราก็มนุษย์ ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งสิ้น ถ้ามีจิตใจเมตตาต่อกัน

แต่ถ้าเป็นนิสัย นิสัยของเขาเอารัดเอาเปรียบคนอื่นนั่นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเขาทำผิดพลาดสิ่งใดผิดกฎหมาย กฎหมายจัดการ แต่เราจะไม่ลดคุณค่าของความเป็นมนุษย์ของเราให้เลวร้ายอย่างนั้น เราจะยกคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเราให้สูงขึ้น สูงขึ้นด้วยปัญญา สูงขึ้นด้วยสติสัมปชัญญะที่จะรักษาความเป็นมนุษย์ของเรา นั่นเรื่องของสังคมๆ เพราะเราไปแก้ไขไม่ได้ทั้งสิ้น

แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมบันลือสีหนาท แล้วประชาชนที่ได้ยินได้ฟังขึ้นมาแล้วเขามีสติปัญญาของเขา เขาปรารถนาทำความดีของเขา นั่นเป็นผลบุญของเขา

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ ถ้าคนไม่เชื่อฟัง คนเขาไม่ต้องการ นั่นก็เป็นเวรเป็นกรรมของเขา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนพระอาทิตย์ แสงนี้ส่องไปทุกบ้านทุกเรือน ทุกคนใช้พลังงานได้ทั้งหมด ทุกคนมีโอกาส มีเสรีภาพได้ทั้งสิ้น แต่ใครจะใช้หรือไม่ใช้ ใครต้องการหรือไม่ต้องการ สิ่งนี้มันเป็นอำนาจวาสนาของคนที่ได้สร้างอำนาจวาสนามา

ถ้าเราทำของเราด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันแก้ไขปัญหาชีวิตได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ปัญญา กิเลสมันพาไปใช้ก่อน ใช้ความเห็นแก่ตัว อยากได้อยากดี อยากได้มรรคได้ผล อยากไปหมดเลย อ้อนวอนขอแบบมีฤทธิ์มีเดช แต่ไม่มีสติปัญญาของตน สิ่งที่ศึกษามาคือสติปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ของตน

เวลาของตนเกิดขึ้นมามันจะเกิดความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มาก ดูสิ พายุมา เวลาคลื่นมันซัดขึ้นมามันทำลายบ้านเรือนของเราไปทั้งหมดเลย เวลาเราเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา มันทำลายกิเลสขึ้นมา โอ้โฮ! เราเห็นเลยว่ามรรคผลมันทำลายกิเลสในใจของเรา

คลื่นมันซัดจนบ้านเรือนพังไปหมดเลย กิเลส เวลาภาวนามยปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดมรรคเกิดผลที่มันทำลายกิเลสในใจของเรา มันพังทลายต่อหน้าเราไปเลย นี่คือผลงานของเราไง ไม่ใช่ไปสำเนาของใครมา

เวลาพายุเข้าไปยืนสิ ยืนกลางทะเลสิ ยืนอยู่ได้ไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้น กิเลสมันจะทนอยู่ได้ไหม กิเลสในใจของคนทนอยู่ได้ไหม ถ้ามันเป็นความจริงนะ ไม่ใช่ความจำ ไม่ใช่การอ้อนวอนขอ ไม่ได้สำเนาของใครมาทั้งสิ้น

สำเนามานี่ สำเนามา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำเนามาเป็นแนวทางในการศึกษา แต่เวลาฝึกหัด ฝึกหัดให้มันเป็นจริงขึ้นมา

ที่เรามาวัดมาวาขึ้นมาเพื่อเหตุนี้ มาเพื่อฟังธรรมๆ เพื่อเตือนสติ เตือนสติ เตือนความเป็นมนุษย์ของเรา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ทุกคนต้องดับสลายไปโดยแน่นอน แล้วมีสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ มีคุณธรรมสิ่งใดเป็นที่พึ่งอาศัย

จิตนี้ต้องพึ่งอาศัยคุณธรรมเท่านั้น ศีล สมาธิ ปัญญา พุทโธๆ เป็นที่อาศัยของจิต จิตที่มันต้องดับ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราต้องพลัดพรากจากชีวิตนี้ไปเป็นที่สุด แล้วเรามีสมบัติอะไร เรามีเสบียงกรังอย่างใด เรามีสิ่งใดที่เป็นที่พึ่งอาศัย เรามีสมบัติสิ่งใดที่เราจะเดินทางของเราต่อไป ถ้ามันมีอยู่จริง

ถ้ามันไม่มีอยู่จริง เราก็ทำคุณงามความดีในปัจจุบันนี้ให้ชีวิตเราสงบร่มเย็นตรงนี้ เพราะเขาบอกว่า อย่าเอานรกสวรรค์มาขู่ อย่าเอานรกสวรรค์มาขู่

ไม่ได้ขู่ พูดความจริง เชื่อไม่เชื่อเป็นสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ เอวัง